วันพฤหัสบดีที่ 5 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2558

ไหว้สิ่งศักดิ์สิทธิ์ พร้อมชมธรรมชาติ กับสุดยอดวัดบนเขาในเมืองไทยที่คุณไม่ควรพลาด

 ไหว้สิ่งศักดิ์สิทธิ์ พร้อมชมธรรมชาติ
กับสุดยอดวัดบนเขาในเมืองไทยที่คุณไม่ควรพลาด

วัดถ้ำเสือ จังหวัดการจนบุรี
ภาพจาก http://www.kanchanaburi.co/th
วัดถ้ำเสือ ตั้งอยู่บนเนินเขา ในตำบลม่วงชุม อำเภอท่าม่วง เป็นวัดที่มีชื่อเสียงไม่น้อย รวมถึงยังถือว่าเป็นวัดที่มีพระที่มีองค์ใหญ่ที่สุดในจังหวัดกาญจนบุรี พระเจดีย์ที่มีความสวยงามโดดเด่น สามารถมองเห็นได้จากในระยะไกล เพราะตั้งอยู่บนเนินเขา ใครที่มาเที่ยวจังหวัดกาญจนบุรี สามารถแวะเยี่ยมชมวัด สักการะพระบรมสารีริกธาตุภายในพระเจดีย์เกศแก้วปราสาท และนมัสการหลวงพ่อชินประทานพร
การขึ้นไปบนเขาที่ประดิษฐานหลวงพ่อชินประทานพร และพระเจดีย์ ทำได้ทั้งเดินขึ้นบันไดนาคด้านหน้า ที่มีจำนวน 157 ขั้น ชันประมาณ 60 องศา หรือสามารถซื้อตั๋วรถรางไฟฟ้านั่งไปกลับ เมื่อขึ้นไปถึงบนเขาบริเวณวัด ด้านซ้ายติดกับบริเวณรถรางจะเป็นพระเจดีย์เกศแก้วปราสาท

การเดินทาง
1. จากกรุงเทพฯ ผ่านอำเภอบ้านโป่ง เข้าถนนแสงชูโต จะผ่านแยกมิราเคิล ออฟ ไลฟ์ จากนั้นพอถึงแยกท่าม่วง เลี้ยวซ้ายไปทางอำเภอท่าม่วง
2. ผ่านหน้าโรงพยาบาลท่าม่วง วนวงเวียนหอนาฬิกา เพื่อเลี้ยวซ้ายไปถนนเลียบคลองชลประทาน
3. เจอสามแยก เลี้ยวขวาไปอีก 2 กิโลเมตร (มีป้ายบอกทาง) ให้วิ่งไปทางเดียวกับวัดม่วงชุม พอเลยวัดม่วงชุมไปจะเห็นทางเข้าวัดถ้ำเสือ อยู่ทางซ้ายมือ

ข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ 

วัดถ้ำเสือ จังหวัดกระบี่
วัดถ้ำเสืออยู่ในตำบลกระบี่น้อย อำเภอเมือง จังหวัดกระบี่   วัดแห่งนี้เป็นที่รู้จักกันดีในจังหวัดกระบี่และจังหวัดใกล้เคียง รวมทั้งชาวต่างประเทศ ทั้งความโดดเด่นของวัดและชื่อเสียงของ "หลวงพ่อจำเนียร" ประธานสงฆ์วัดถ้ำเสือที่มีผู้เลื่อมใสศรัทธามาช้านาน สภาพโดยทั่วไปของ วัดถ้ำเสือมีลักษณะ เป็นสวนป่า เป็นโพรงถ้ำ มีเพิงผาและแหล่งถ้ำธรรมชาติ เช่น ถ้ำคนธรรพ์ ถ้ำลอด ถ้ำช้างแก้ว ถ้ำลูกธนู ถ้ำงู ถ้ำเต่า ถ้ำมือเสือ เป็นเอกลักษณ์และเป็นที่นิยมชื่นชอบของนักท่องเที่ยวทั้งชาวไทยและชาวต่างชาติ

การเดินทาง
จากตัวเมืองกระบี่ เลี้ยวซ้ายที่สี่แยกตลาดเก่า ใช้เส้นทางถนนเพชรเกษม (ทางหลวงหมายเลข 4) เส้นทางอำเภอเหนือคลอง เลี้ยวซ้ายที่สามแยกถ้ำเสือไปตามถนนราษฎรพัฒนา (ทางหลวงหมายเลข 4037) ไปประมาณ 2 กิโลเมตร

ข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ 

วัดป่าภูก้อน จังหวัดอุดรธานี
ภาพจาก http://www.watpaphukon.org/
วัดป่าภูก้อน ตั้งอยู่ในเขตป่าสงวนแห่งชาติป่านายูงและป่าน้ำโสม ท้องที่บ้านนาคำ ตำบลบ้านก้อง อำเภอนายูง จังหวัดอุดรธานี อันเป็นรอยต่อแผ่นดิน 3 จังหวัด คือ อุดรธานี เลย และหนองคาย
ในปัจจุบันนี้ วัดป่าภูก้อนดำรงคงอยู่ด้วยความสมดุลของป่าไม้ที่ทวีความอุดมสมบูรณ์ขึ้นทุกคืนวัน โดยบุคคลผู้มีความศรัทธาและระลึกคุณของสรรพสิ่งทั้งหลายของชาติและแผ่นดินอันเป็นที่กำเนิดแห่งชีวิต โดยมีคุณพระพุทธศาสนาเป็นเครื่องสำนึก และมีพระมหากรุณาธิคุณของพระมหากษัตริย์ที่ชาวไทยทุกคนควรทดแทน เป็นกำลังใจส่งเสริมพระสงฆ์ผู้ปฎิบัติดีปฎิบัติชอบให้ดำรงปฏิปทาของพระป่ากรรมฐานเพื่อบูชาคุณพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ จนถึงที่สุด

การเดินทาง
ข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ http://www.watpaphukon.org/


วัดเจติยาคิรีวิหาร (วัดภูทอก) จังหวัดหนองคาย 
    วัดเจติยาคีรีวิหาร (ภูทอก) ต.นาสะแบง อ.ศรีวิไล จ.บึงกาฬ หนึ่งในที่ท่องเที่ยวและสถานที่ปฏิบัติธรรมของจังหวัด "บึงกาฬ" จังหวัดน้องใหม่ ถิ่นอีสานริมโขงตอนเหนือ ที่แยกตัวออกมาจากจังหวัดหนองคาย คือ "ภูทอก" หรือ "วัดเจติยาคีรีวิหาร" เป็นสถานที่ปฏิบัติธรรมของภิกษุ สามเณร และพุทธศาสนิกชนทั่วไป โดยมี "พระอาจารย์จวน กุลเชฏโฐ" เป็นผู้ก่อตั้ง 
ภูทอกเป็นภูเขาลูกโดดเดี่ยวสมชื่อ โดยมีทางเดินเป็นบันไดไม้วนเวียนไปรอบๆ ภูเขาจนถึงด้านบนสุดของ เรียกได้ว่า ดูวิวได้รอบภูทอก 360 องศา ใช้เวลาการสร้างยาวนาน 5 ปีเต็ม ด้วยแรงงานคนสร้างล้วนๆ ในหนทางที่ก้าวขึ้นภูทอกนั้น สามารถแบ่งเป็นชั้นได้ 7 ชั้น ระหว่างทางที่เดินจะมีที่พักของแม่ชีและกุฏิพระสงฆ์ที่ปลูกสร้างไปกับโขดหิน นอกจากนี้ยังมีป้ายข้อคิดที่เขียนไว้กับหน้าผา ฝากเป็นข้อเตือนใจในทุกย่างก้าวเดิน  ผู้ที่ขึ้นมาจะต้องใช้ความพยายามและมุ่งมั่นในการที่จะขึ้นไป ก็เปรียบเหมือนหนทางสู่การบรรลุธรรม ให้คนก้าวพ้นจากโลกแห่งโลกียะสู่โลกแห่งโลกุตระหรือโลกแห่งการหลุดพ้นด้วยความเพียรพยายามและความมุ่งมั่นนั่นเอง
การเดินทาง
ภูทอกอยู่ห่างจากตัวเมืองหนองคายประมาณ 185 กิโลเมตร การเดินทางจากตัวเมือง ใช้ทางหลวงหมายเลข 212 ผ่านอำเภอโพธิ์ชัย อำเภอปากคาด และอำเภอบึงกาฬ แล้วเลี้ยวขวาเข้าเส้นทางหลวงหมายเลข 222 ถึงอำเภอศรีวิไล จากอำเภอศรีวิไลมีทางแยกซ้ายผ่านบ้านนาสิงห์ บ้านสันทรายงาม สู่บ้านนาคำแคน ถึงภูทอกเป็นระยะทางอีก 30 กิโลเมตร

ข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ http://www.chillpainai.com

เขาคิชฌกูฏ  จังหวัดจันทบุรี
อุทยานแห่งชาติเขาคิชฌกูฏ อำเภอมะขาม และกิ่งอำเภอเขาคิชฌกูฏ จังหวัดจันทบุรียอด เขาคิชฌกูฏ ที่เค้าว่ากันว่าอยู่สูงเทียมเมฆนั้น เป็นที่ประดิษฐานของรอยพระพุทธบาทที่อยู่สูงที่สุดในประเทศไทย ทุกๆปี ในช่วงที่เปิดให้มีการขึ้นนมัสการรอยพระพุทธบาทนั้น จะมีผู้คนจากทั่วทุกภาถของประเทศไทย ต่างเดินทางมายังยอดเขาแห่งนี้เป็นจำนวนมาก เพื่อที่จะมาสักการะแผ่นหิน ซึ่งเชื่อกันว่าพระพุทธองค์ทรงมาประทับรอย พระบาทไว้ ด้วยความศรัทธาและความเชื่อในอานิสงส์ที่แรงกล้า ว่ากันว่าใครที่ได้นมัสการรอยพระพุทธบาทแห่งนี้ถือเป็นสิริมงคลแก่ครอบครัวและชีวิต ขออะไรจะได้อย่างนั้น
การเดินทาง
จากกรุงเทพฯ ใช้เส้นทางหลวงพิเศษหมายเลข 7 มอเตอร์เวย์ ผ่าน อำเภอบ้านบึง มุ่งสู่ อำเภอแกลง จากสามแยกแกลงให้เลี้ยวซ้าย แล้วใช้ถนนสุขุมวิท (ทางหลวงหมายเลข 3) เมื่อถึงทางแยกเข้าตัวเมืองจันทบุรี (สี่แยกเขาไร่ยา) เลี้ยวซ้ายเขาถนนบำราศนราดูรไปประมาณ 20 กิโลเมตรนิดๆ ก็จะถึงน้ำตกกระทิง เลยวัดกระทิงไป 400 เมตร ก็จะถึงแยกขวามือที่จะไปวัดพลวง ซึ่งเป็นถนนลูกรังระยะทางประมาณ 3 กิโลเมตร ให้จอดรถฝากไว้ที่วัดพลวงแล้วนั่งรถบริการที่จะพาไปยอดเขา
ที่นี่จะเปิด 2เดือน ประมาณกลางเดือนมกราคมถึงกลางเดือนมีนาคม
ที่ทำการอุทยานแห่งชาติเขาคิชฌกูฎ โทร.0 3945 2074

วัดพระธาตุผาซ่อนแก้ว จังหวัดเพชรบูรณ์
ภาพจาก http://www.phasornkaew.org
เจดีย์พระธาตุผาซ่อนแก้วเป็นที่ประดิษฐานพระบรมสารีริกธาตุ วัดพระธาตุผาซ่อนแก้ว อยู่ที่ ต.แคมป์สน อ.เขาค้อ จ.เพชรบูรณ์
สถานที่อันเป็นธรรมภูมิที่งดงาม ซึ่งเรียกว่าผาซ่อนแก้วนี้ มีธรรมชาติเป็นภูเขาที่สูงใหญ่ ซ้อนกันเป็นทิวเขาเรียงรายโอบรอบบริเวณศาลาปฏิบัติธรรม และบนยอดเขาสูงตระหง่านนั้น มีถ้ำอยู่บนปลายยอดเขา ซึ่งมีชาวบ้านทางแดงหลายคน ได้เห็นลูกแก้วลอยเหนือฟากฟ้า และลับหายเข้าไปในถ้ำบนยอดผา ชาวบ้านเชื่อว่าเป็นพระบรมสารีริกธาตุเสด็จมา และต่างถือว่าเป็นสถานที่มงคล มีความศักดิ์สิทธิ์และเรียกตาม ๆ กันว่า “ผาซ่อนแก้ว”
สำหรับพุทธศาสนิกชน สามารถเข้าสักการะพระบรมสารีริกธาตุ ที่องค์พระเจดีย์ และเดินชมภายในบริเวณที่กำหนด ด้วยการสำรวมกาย วาจา ใจ นอบน้อมต่อสถานที่
ควรแต่งกายให้เรียบร้อย และประพฤติกิริยาให้เหมาะสม ไม่ส่งเสียงดัง  เปิดให้เข้าชมทุกวัน 

การเดินทางด้วยรถยนต์ส่วนตัว
ระยะทางจากกรุงเทพ ถึงวัดรวมระยะทางประมาณ 400 กิโลเมตร ใช้เวลาเดินทางประมาณ 5 ชั่วโมงครึ่ง โดยขับมาตามเส้นทางดังต่อไปนี้
จากกรุงเทพฯ ใช้เส้นทางผ่านจังหวัดสระบุรี และใช้เส้นทางหมายเลข 21 สระบุรี ลพบุรี เพชรบูรณ์
เมื่อผ่านตัวเมืองจังหวัดเพชรบูรณ์มาสักระยะ จนใกล้หลักกิโลเมตรที่ 260  ให้สังเกตอนุสาวรีย์พ่อขุนผาเมืองทางซ้ายมือ และเลี้ยวซ้ายเข้าทางหลวงหมายเลข 12 หล่มสัก พิษณุโลก
ขับต่อไปยังทางหลวงหมายเลข 12 ประมาณ 30 นาที หลักกิโลเมตรที่ 103  มีจุดสังเกตคือ อบต.แคมป์สนอยู่ทางขวามือ และธนาคารกสิกรไทย เยื้องขึ้นไปทางซ้ายมือ ตรงไปกลับรถ และจะเห็นป้าย พุทธธรรมสถานผาซ่อนแก้ว อยู่ปากซอยทางเข้า หมู่บ้านทางแดง ซึ่งอยู่ด้านข้าง อบต.แคมป์สน เลี้ยวซ้ายเข้าไป ตรงตลอดจนเห็นสะพานทางเข้าวัด เลี้ยวขวาข้ามสะพานและจอดรถ ณ บริเวณที่จัดไว้
ช้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ http://www.phasornkaew.org

วัดเฉลิมพระเกียรติพระจอมเกล้าราชานุสรณ์  จังหวัดลำปาง
ภาพจาก http://www.lampangnha.com
ตั้งอยู่ที่ “ดอยปู่ยักษ์” บ้านทุ่งทอง ตำบลวิเชตนคร อำเภอแจ้ห่ม จังหวัดลำปาง เป็นแหล่งท่องเที่ยว “อันซีน” เนื่องจากยังไม่เป็นที่รู้จักในหมู่นักท่องเที่ยวมากนัก มีลักษณะเป็นผาหินสูงชัน บนยอดของภูเขาที่สูงที่สุดนั้น มีรอยพระพุทธบาทศักดิ์สิทธิ์ประดิษฐานอยู่
วัดจะมี 2 ชั้น วัดชั้นล่างสามารถขับรถไปจอดหน้าวัดได้เลย ส่วนวัดชั้นบนที่ตั้งอยู่บนยอดเขา ต้องขับรถขึ้นไป 3 กิโลเมตร แล้วเดินเท้าขึ้นเขาไปอีกประมาณ 1 กิโลเมตร
ภาพจาก http://www.lampangnha.com
ผู้ที่ต้องการใช้บริการรถสองแถวของทางวัดขึ้นไปบนเขา สามารถจอดรถได้ 2 จุด คือบริเวณวัดพระจอมเกล้าราชานุสรณ์ทางด้านล่าง และบริเวณลานจอดรถของ อบต.วิเชตนคร อีกหนึ่งจุด มีค่าบริการ 600 บาท/คัน นั่งได้ 10 คน หรือคนละ 60 บาท หรือสอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย สำนักงานเชียงใหม่ (ดูแลพื้นที่เชียงใหม่ ลำพูน ลำปาง) โทร.0 5327 6140-2 

ข้อมูลจาก http://www.manager.co.th

วัดเทพพิทักษ์ปุณณาราม  จังหวัดนครราชสีมา
วัดเทพพิทักษ์ปุณณาราม หรือวัดพระขาว ตั้งอยู่บริเวณเขาสีเสียดอ้า หมู่บ้านกลางดง ทางฝั่งขวาของทางหลวงหมายเลข ๒ (ถนนมิตรภาพ) ตรงหลักกิโลเมตรที่ ๑๕๐ มีทางแยกเข้าไปอีก ๒ กิโลเมตร มีถนนราดยางเข้าไปถึงวัด
ที่วัดนี้มีพระพุทธรูปปางประทานพรสีขาว ขนาดใหญ่ ชื่อว่า "พระพุทธสกลสีมามงคล" ชาวบ้านทั่วไปเรียกว่า หลวงพ่อขาว ขนาดหน้าตักกว้าง ๒๗.๒๕ เมตร สูง ๔๕ เมตร สร้างด้วยคอนกรีตเสริมเหล็ก โดดเด่นอยู่บนยอดเขาสูงจากระดับพื้นดิน ๑๑๒ เมตร
ถ้าใครมั่นใจในความแข็งแรงของกำลังขาแล้ว มาทดสอบกำลังโดยการเดินไปให้ถึงองค์พระกันก็ได้ ปริมาณขั้นบันไดเพียงแค่ 1,250 ขั้น ซึ่งเท่ากับจำนวนพระอรหันต์สาวก นอกจากจะได้เห็นความงดงามขององค์พระอย่างใกล้ชิด ข้างบนยังเป็นจุดชมวิว "มวกเหล็ก-กลางดง"

การเดินทาง
ข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ 


วัดเขาสุกิม  จังหวัดจันทบุรี
ตั้งอยู่ที่ ตำบลเขาพลอยศรี อำเภอท่าใหม่ จังหวัดจันทบุรี ห่างจากตัวเมืองจันทบุรี ประมาณ 20 กิโลเมตร สร้างขึ้นเมื่อปี พ.ศ. 2509 ด้วยแรงศรัทธาของพุทธศาสนิกชนที่มีต่อ พระอาจารย์สมชาย ฐิตวิริโย โดยมี จุดประสงค์เพื่อใช้เป็นที่บำเพ็ญภาวนาของพุทธศาสนิกชนทั่วไป บริเวณวัดกว้างขวาง ตั้งสูงขึ้นไปอยู่บน เชิงเขา มีพื้นที่ประมาณ 3,280 ไร่ ภายในวัดมีศาสนสมบัติ ศาสนวัตถุ และวัตถุโบราณล้ำค่าต่าง ๆ มากมาย นอกจากนี้มีวัตถุโบราณล้ำค่าต่าง ๆ มากมาย นอกจากนี้มีการจัดแสดงหุ่นขี้ผึ้งของพระอาจารย์ซึ่งเป็นที่เคารพ สักการะของพุทธศาสนิกชนทั่วไปกว่า 20 ท่าน เช่น หลวงปู่แหวน หลวงปู่วัน พระอาจารย์มั่น ฯลฯ
การเดินทาง 
เส้นทางหลัก การเดินทาง(โดยรถยนต์ส่วนตัว) ไปได้หลายเส้นทาง คือ จากถนนสุขุมวิท(ถ้ามาทาง กทม.) ถึงกิโลเมตรที่ 305 บริเวณบ้านห้วยสะท้อน มีทางแยกเข้าทางหลวงหมายเลข 3322 ไปวัดเขาสุกิม(ปากทางปัจจุบันมี 7-11 อยู่ให้แยกซ้ายตรง 7-11) เข้าไปเป็นระยะทาง 13 กิโลเมตร
ข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ http://www.watkhaosukim.com


วัดเขาพระยอด  จังหวัดตรัง
ภาพจาก www.trangzone.com
ตั้งอยู่ที่ตำบลห้วยยอด อำเภอห้วยยอด จังหวัดตรัง อยู่ห่างจากตัวอำเภอห้วยยอด ประมาณ 1 กิโลเมตร เป็นภูเขาที่มีลักษณะคล้ายช้างหมอนชาวบ้านจึงเรียกว่า เขาช้างซุ่ม บนยอดเขาสามารถมองเห็นทิวทัศน์ของตัวอำเภอห้วยยอดจากมุมสูงได้อย่างชัดเจน
จุดสำคัญที่สุดและตั้งเด่นสง่ายอยู่บนจุดสูงสุดก็คือ "เจดีย์บัวทองภูเขาพระยอด" เจดีย์องค์นี้มีฐานล่างเป็นทรงกลมธรรมจักรธรรมชาติแนวนอน  และมีเจดีย์น้อย ๘ องค์ ประจำเสารอบนอก ๑๒ ต้น ประจำราศีนักษัตรจัดเป็นเสา ๔ ชุด ดิน น้ำ ลม ไฟ ทรงกลางแปดเหลี่ยม ควบคุมทิศทั้ง ๘ ประกอบด้วย พญานาค ๕ ตน และประดับด้วยเหรียญกษาปณ์ทองตลอดทั้งองค์ ส่วนภายในบรรจุของสำคัญมากมาย เช่น พระบรมสารีริกธาตุ พระธาตุ พระธาตุเหล็กไหล เบี้ยไทยพดด้วงรัชกาลที่ ๓ รวมถึงเงินตราสกุลต่างๆ จำนวนประมาณค่ามิได้  

การเดินทาง   ห่างจาก อ.ห้วยยอด ประมาณ 2 กม. ถ.เพชรเกษม เส้นทาง อ.ห้วยยอด ไป จ.กระบี่
ภาพจาก http://topicstock.pantip.com/blueplanet/topicstock/2010/01/E8816237/E8816237.html ที่ : http://www.chillpainai.com/scoop/3762

วันอังคารที่ 27 มกราคม พ.ศ. 2558

ทรงสุดา (ลูกจอมพล ถนอม)......ลูกไม้หล่นไม่ไกลต้น.....เผด็จการที่ไม่กลายพันธ์ ?

ทรงสุดา (ลูกจอมพล ถนอม)......ลูกไม้หล่นไม่ไกลต้น.....เผด็จการที่ไม่กลายพันธ์ ?

กระทู้คำถาม
https://www.youtube.com/watch?v=CQgL-Z6tcL8&hd=1

เห็นคลิปครูหยุยที่แชร์ว่อนในเน็ต จนโดนสังคมเชือดคอ ตายอย่างอนาถแล้ว

ในคลิปดังกล่าวยังมีผู้หญิงอีกคนหนึ่ง (ใส่ชุดสีน้ำเงิน ถ่ายรูปบอร์ดลงคะแนนด้วยความสะใจ)

ผู้หญิงคนนั้นชื่อ ทรงสุดา ยอดมณี



ทรงสุดา เป็นลูกสาวจอมพล ถนอม กิตติขจร 1 ใน 3 ทร-ราช ที่จารึกในประวัติศาสตร์ไทย

เป็นคนทำให้เกิดเหตุการณ์ "วันมหาวิปโยค 14 ตุลา 2516" โดยสั่งการสังหารชีวิต นิสิต นักศึกษา ประชาชน

ตายและหายสาบสูญเป็นจำนวนมาก จนตัวเองต้องลี้ภัยไปอยู่ที่ บอสตัน แต่ถูกคนไทยที่นั่นขับไล่

สุดท้ายมาอยู่ที่สิงคโปร์ และต่อมาได้บวชเป็นสามเณรและขอกลับไทยในวันที่ 19/9/2519 ซึ่งขณะนั้น รัฐบาล

พรรค ปชป ได้อนุญาตให้ ถนอม กลับเข้ามา จนเกิดเหตุการณ์สังหารหมู่ในธรรมศาสตร์ (6 ตุลา 19 )


ถนอม (พ่อทรงสุดา ขอเน้นหน่อย) เป็นนายกคนที่ 10 ของไทย แต่เป็นนายกที่ได้ตำแหน่งที่แปลกที่สุดของโลก

คือ ได้ตำแหน่งเพราะ "รอยยิ้ม" กล่าวคือ ตอนที่ จอมพล สฤษดิ์ ธนะรัชต์ ทำการ รปห จอมพล ป ได้สำเร็จ

แต่เนื่องจากสุขภาพ จอมพล สฤษดิ์ ไม่ดี จำเป็นต้องไปรักษาตัวที่ต่างประเทศ จึงต้องมี นายกไว้ขัดตาทัพ

ซึ่งตอนนั้น จอมพล สฤษดิ์ มีลูกน้องคู่ใจอยู่ 2 คน คือ ถนอม กับ ประภาส สุดท้าย จอมพล สฤษดิ์ จึงยก

ตำแหน่ง นายก ให้ถนอม โดยให้เหตุผลว่า " ไอ้ตุ๊ (ชื่อเล่น ประภาส) มันชอบออกทีวี ตู (หมายถึง จอมพล สฤษดิ์)

ไม่ให้เป็นนายกหรอก ตูให้ไอ้หนอมดีกว่า มันยิ้มสวยดี ยิ้มสยาม" เหตุนี้ ถนอม จึงได้เป็นนายก


เมื่อ จอมพล สฤษดิ์ รักษาอาการป่วยดีแล้ว ก็บอกให้ ถนอม ลงจากเก้าอี้ ตัวเองขึ้นเป็นแทน และเมื่อ จอมพล สฤษดิ์ ตาย

ถนอม ก็ได้เป็นนายกอีกครั้ง และได้ทำการเนรคุณ จอมพล สฤษดิ์ ทันที โดยใช้ ม.17 ยึดทรัพย์ จอมพล สฤษดิ์


การเป็นนายกครั้งนี้ของ ถนอม ได้ทำสิ่งที่ตลก และ เลวร้าย ให้กับประวัติศาสตร์มากมาย เช่นการ รปห รัฐบาลตัวเอง

เมื่อ 17 พฤศจิกายน 2514  ซึ่งแสดงให้เห็นว่า คนอย่าง ถนอม ไม่เคยศรัทธา ระบอบ ปชต

เมื่อ ถนอม ยึดอำนาจตัวเองแล้ว ก็เป็นเผด็จการเต็มรูปแบบ จนทำให้นิสิต นักศึกษา ออกมาประท้วง เกิดเหตุการณ์

14 ตุลา 2516  และในที่สุด 3 ทร-ราด และครอบครัวก็ต้องลี้ภัยไปต่างประเทศ


ความเลวร้ายของ ถนอม นั้นนำมาซึ่งความเกลียดชังของประชาชนชาวไทยตลอดมา โดยเฉพาะญาติวีรชน 14 ตุลา

และผู้สูญเสียในเหตุการณ์ 6 ตุลา 19 ซึ่งต้นเหตุก็มาจากการที่ ถนอม กลับประเทศไทย  แต่เชื่อไหมว่า เมื่อตอน

ชวน หลีกภัย เป็นนายกครั้งที่ 2 ได้แต่งตั้งให้ ถนอม ดำรงตำแหน่งเป็นนายทหารพิเศษ สังกัด กรมทหารราบที่ 31 ร.อ

http://www.bloggang.com/viewblog.php?id=phonlawat&date=15-12-2007&group=18&gblog=4

ซึ่งยังความโกรธแค้นให้กับ ปชช เป็นอย่างมาก จน ถนอม ต้องลาออกจากตำแหน่งดังกล่าว เมื่อ ปชช เรียกร้องให้ ชวน

ขอโทษ ชวน เล่นลิ้นแล้วบอกว่า "ไม่ขอโทษ แต่ถ้าทำให้เสียความรู้สึกก็เสียใจ จากเรื่องนี้ก็แสดงให้เห็นชัดว่า

พรรค แมงสาบ ฝักใฝ่เผด็จการ ทำผิดไม่เคยขอโทษ ปชช นิสัยถาวรเช่นนี้ ตกทอดมาถึงยุคปัจจุบัน


ทรงสุดา (ลูกถนอม เน้นอีกที) ได้เป็น สนช เที่ยวนี้ โดยการสร้างวีรเวร ด่าอเมริกา หลังจาก รปห 22 พฤษภา โดยบอก

อเมริกาว่า อย่ายุ่งกับการ รปห ของไทย

http://www.thaipost.net/news/020614/91123

หนำซ้ำยังเคยให้สัมภาษณ์ว่า ถนอม ทำประโยชน์ให้กับประเทศไทยมากมาย

เล่นเอาฝ่าย ปชต ด่ากลับกระเจิง จนหนีกลับรูแทบไม่ทัน




คนที่เป็นหน่อเนื้อเชื้อสายเผด็จการอย่าง ทรงสุดา ถ้าบั้นปลายชีวิตใช้ชีวิตอย่างสมถะ ก็ยังพอให้สังคมอภัยได้

แต่นี่เมื่อได้ดิบได้ดีทางการเมือง กลับมาร่วมทำการทำลายล้างผู้ที่ประชาชนส่วนใหญ่ทั้งประเทศรัก และ ศรัทธา

หนำซ้ำยังแสดงกริยาเยาะเย้ยถากถางอีกด้วย แสดงว่าเชื้อชั่วเผด็จการที่มาจากพ่อ ไม่เจือจางลงเลย


สังคม สลิ่ม มันน่ารังเกียจก็ตรงนี้ คนที่มีภูมิหลังชั่วยังไง ขอเพียงได้มาเป่านกหวีด ได้มาด่า ทักษิณ เกลียด ยิ่งลักษณ์

คนพวกนั้นก็กลายเป็นคนดี กลายมาเป็นผู้มีส่วนได้ชูคอในสังคม อนาถจริงๆประเทศไทย


ป.ล    ตอนแรกจะเขียนถึง ไอ้หยุย แต่คนเขียนเยอะแล้ว จึงเลือก ทรงสุดา ยังมีอีกหลายคนในคลิป ที่อยากเขียน

ป.ล 2 วันที่ ถนอม บวชเป็นสามเณรแล้วกลับมาเมืองไทยคือ วันที่ 19 /9/19 ไม่น่าเชื่อว่าอีก 30 ปีต่อมา

        19/9/49 จะมี รปห ไล่รัฐบาล ทักษิณ

ป.ล 3 ดูการเมืองช่วงนี้คล้ายเหตุการณ์ช่วงปี 2490 - 2500 มาก

ป.ล 4 ที่ไม่เขียนยศ ถนอม ประภาส เพราะคนที่สั่งสังหาร ปชช ของตัวเอง ไม่ควรมียศติดตัวตลอดไป