วันเสาร์ที่ 7 ธันวาคม พ.ศ. 2556

อาบเหงื่อต่างน้ำ : ดร.นิเวศน์ เหมวชิรวรากร

อาบเหงื่อต่างน้ำ : ดร.นิเวศน์ เหมวชิรวรากร

อาบเหงื่อต่างน้ำ : ดร.นิเวศน์ เหมวชิรวรากร
หุ้นของบริษัทที่อยู่ในอุตสาหกรรมหรือธุรกิจบางอย่างนั้น ถ้าเราลงทุนซื้อไว้ก็จะพบว่า ราคาหุ้นไม่ไปไหนและอาจจะตกต่ำอยู่นานมาก หุ้นบางตัวก็อาจจะให้ปันผลอยู่บ้างแต่ปันผลนั้นก็มักจะไม่ปรับตัวขึ้น หุ้นหลายตัวมีปันผลแต่ก็กระท่อนกระแท่นเพราะกำไรของบริษัทมีบ้างไม่มีบ้าง หุ้นหลายตัวแทบจะไม่มีปันผลเลยมีแต่ข่าวว่ายอดขายจะดีขึ้นและความหวังว่ากำไรจะมาแล้ว อนาคตกำลังจะ “สดใส” และหุ้นบางตัวหรือบางกลุ่มนั้น ในบางช่วงบางตอนอาจจะเป็น 2-3 ไตรมาศหรือ 2-3 ปี ก็แสดง “อภินิหาร” วิ่งขึ้นไปเป็นเท่า ๆ ตัวพร้อม ๆ กับปริมาณการซื้อขายที่คึกคักเต็มที่และผู้คนกล่าวขวัญกันมาก แต่หลังจากนั้น เมื่อภาวะทางอุตสาหกรรมกลับมาเป็นปกติ หุ้นก็ตกกลับลงมาและหงอยเหงาไปอีกนาน หุ้นต่าง ๆ เหล่านี้ ถ้าเราถือไว้ลงทุนระยะยาวหวังผลตอบแทนที่ดีแล้วละก็ ผมก็อยากจะเปรียบเทียบเหมือนกับคนที่ต้องทำงานหาเงินว่า เป็นงานที่ “อาบเหงื่อต่างน้ำ” หากินยากเหลือเกิน ลองมาดูกันว่ามีหุ้นกลุ่มไหนบ้าง
หุ้นกลุ่มแรกก็คือ หุ้นเหล็ก หรือหุ้นที่อยู่ในอุตสาหกรรมเหล็ก นี่คือหุ้นกลุ่มที่ “หนัก” ที่สุดในสายตาของผม เพราะตั้งแต่ผมเริ่มเข้าตลาดหุ้น หุ้นกลุ่มนี้เป็นหุ้นที่มี “เวลาดี ๆ” คือช่วงที่หุ้นขึ้นน้อยเหลือเกิน เมื่อมันขึ้นไป คนที่เข้าไปเล่นนั้น บางทียังตั้งหลักไม่ทันมันก็ลงมาซะแล้ว ทำให้คนเล่นขาดทุนกันมากมายและก็เลิกเล่นไปอีกนานจนลืมบทเรียนที่เจ็บปวดเพื่อที่จะกลับมาเล่นอีกเมื่อมันมีข่าวว่าราคาเหล็ก “กำลังขึ้น” และกำไรของบริษัทจะ “มโหฬาร” เป็นวัฏจักรกันแบบนี้มาช้านาน

ปัญหาของอุตสาหกรรมเหล็กก็คือ มันเป็นโภคภัณฑ์ที่มี Supply หรือมีวัตถุดิบและโรงงานเหลือเฟือในโลก ซึ่งทำให้มีการตัดราคากันอย่างสมบูรณ์ทำให้กำไรของผู้ผลิตมีน้อยมาก นาน ๆ ครั้งก็จะมีการขาดแคลนบ้างเนื่องจากความต้องการใช้เติบโตขึ้นมากระทันหันทำให้ราคาปรับตัวเพิ่มขึ้น ประกอบกับยอดขายที่ค่อนข้างมากและสต็อกสินค้าที่มักจะสูง นี่ทำให้เกิด “กำไรจากสต็อก” สินค้ามากแต่บริษัทไม่ได้มีเงินสดจากกำไรนั้นที่จะเอาแบ่งปันกันมากมาย ผลก็คือ นักลงทุนที่เล่นหุ้นก็อาจจะเข้ามาซื้อเก็งกำไรทำให้ราคาหุ้นกระโดดขึ้น อย่างไรก็ตาม ราคาเหล็กนั้นมักจะสูงอยู่ได้ไม่นาน เพราะเมื่อราคาเหล็กปรับตัวขึ้น ผู้ผลิตทั่วโลกต่างก็จะเร่งผลิตเหล็กออกมาขายทำให้ราคาปรับตัวลงมา ซึ่งก็ทำให้บริษัทเหล็กขาดทุนจากสต็อกที่มีอยู่ นักลงทุนที่รู้ก่อนก็จะขายหุ้น ทำให้หุ้นตกลงมา วงจรของหุ้นเหล็กก็คือ หุ้นมักจะมีช่วงเวลาที่ดีสั้นมาก แต่มีเวลาที่ “เลวร้าย” ยาวมาก

ใกล้เคียงกับหุ้นเหล็กก็คือ หุ้นเรือ เพราะหุ้นขนส่งทางเรือนั้น มีลักษณะที่เป็น “โภคภัณฑ์” ที่มีการแข่งขันกันทั่วโลกเหมือนกัน เพียงแต่ว่าเรือนั้น มี Supply จำกัดมากกว่าเหล็ก ในยามที่โลกขาดแคลนเรือ ราคาค่าขนส่งก็วิ่งขึ้นไปมากทำให้กำไรของบริษัทเรือเติบโตขึ้น “มโหฬาร” แต่การต่อเรือใหม่นั้นใช้เวลามากกว่าการผลิตเหล็กเพิ่ม ดังนั้น หุ้นเรือจึงมีเวลาที่ดียาวนานกว่าหุ้นเหล็ก ในขณะที่หุ้นเหล็กอาจจะดีได้เพียง 2- 3 ไตรมาศ หุ้นเรืออาจจะดีได้ถึง 2-3 ปี เพราะเรือนั้นกว่าจะต่อเสร็จแต่ละลำต้องใช้เวลาเป็นปี ๆ อย่างไรก็ตาม เวลาที่ “เลวร้าย” ของหุ้นเรือนั้น ก็มักจะยาวกว่า “เวลาที่ดี” มาก ถ้าจะถามว่าอะไรเป็นเครื่องสังเกตว่าเวลาที่เลวร้ายกำลังจะผ่านไป คำตอบของผมก็คือ คงต้องรอจนกว่าบริษัทจะ “ขาดทุน” เพราะตราบใดที่บริษัทยังกำไร ผมก็คิดว่านั่นยังไม่ใช่เวลาที่เลวร้ายที่สุด

ต่อจากธุรกิจเรือแล้ว ผมคิดว่าธุรกิจการบินเองก็มีคุณสมบัติคล้าย ๆ กันในแง่ที่ว่ามันมีการแข่งขันกันดุเดือดและแข่งกัน “ทั่วโลก” เหมือนกันเพราะเครื่องบินนั้น “บินได้” ดังนั้น Supply จึงมีมากมายซึ่งทำให้การทำมาหากินนั้นยากลำบาก ต้อง “อาบเหงื่อต่างน้ำ” ว่าที่จริง บัฟเฟตต์เองก็เคยขาดทุนจากการลงทุนในหุ้นสายการบินมาแล้วและบอกว่ามันเป็นธุรกิจที่ยากลำบากจริง ๆ โดยเฉพาะในอเมริกาที่การบินนั้นมีการแข่งกันอย่างสมบูรณ์

อีกธุรกิจหนึ่งในตลาดหุ้นไทยที่ผมติดตามดูแล้วรู้สึกว่าคนที่ลงทุนคงจะ “เหนื่อย” เหลือเกินก็คืองานรับเหมาก่อสร้างงานอิฐ หิน ปูน ทราย หรือที่เรียกว่างาน Civil เช่น การก่อสร้างอาคาร ถนนหนทาง สะพาน ทางด่วน และสาธารณูปโภคอื่น ๆ อีกมาก นี่คืองานที่บริษัทต้องประมูลแข่งที่ราคาต่ำที่สุดเพื่อที่จะได้งาน นอกจากนั้น ผู้จ้างยังมักจะเป็นหน่วยงานราชการที่มีกฎระเบียบมากมาย การที่จะได้งานและส่งมอบงานมักจะต้องมี “ต้นทุน” ต่าง ๆ มากมายที่เราไม่รู้ ดังนั้น แม้ว่าจะมีงานในมือมหาศาล แต่กำไรของบริษัทรับเหมาก่อสร้างก็มักจะ “กระท่อนกระแท่น” ซึ่งทำให้ราคาหุ้น “กระท่อนกระแท่น” ตาม นาน ๆ ครั้งก็จะมี “ข่าวดี” ที่บริษัทอาจจะได้รับงานใหญ่และทำให้หุ้นวิ่งขึ้นไป แต่อยู่ได้ไม่นานเมื่อผลประกอบการปรากฏ หุ้นก็ตกลงไปที่เก่าและก็จะหงอยเหงาต่อไปอีกนาน การซื้อหุ้นรับเหมาสำหรับหลาย ๆ คนก็เป็นการ “อาบเหงื่อต่างน้ำ” อีกกลุ่มหนึ่ง

หุ้นสิ่งทอ หุ้นการเกษตร และหุ้นที่อยู่ในภาวะอุตสาหกรรม “ตะวันตกดิน” บางอย่างนั้น การลงทุนแม้ว่าบางบริษัทยังจ่ายปันผลค่อนข้างดี แต่หุ้นก็มักจะไม่ไปไหน ลงทุนไปแล้วก็ “เหนื่อย” หรือ “เบื่อ” บางบริษัทก็อาจจะต้อง “อาบเหงื่อต่างน้ำ” เหมือนกัน

หุ้นอีกกลุ่มหนึ่งซึ่งอาจจะไม่ได้อยู่ในอุตสาหกรรมเดียวกันแต่มีคุณลักษณะคล้ายกันก็คือ หุ้นที่ต้องอิงกับคนที่มีทักษะเฉพาะและมีเงินเดือนสูงและเป็นงานที่ต้องแข่งขันทางด้านราคาอาจจะโดยการประมูล ตัวอย่างเช่น หุ้น บริษัทที่ปรึกษาและรับงานทำระบบไอที หุ้นบริษัทโฆษณา หุ้นรับจัดงานอีเว้นท์ หุ้นของกิจการเหล่านี้มักจะเดินหน้าไปไม่ไกลแม้ว่าบริษัทจะมีกำไรพอใช้ได้และจ่ายปันผลพอสมควร เหตุผลก็เพราะว่าการขยายงานน่าจะโตไปได้ไม่มาก อาจจะเนื่องจากข้อจำกัดทางด้านบุคลากรและด้านของความต้องการของลูกค้าเอง การที่งานต้องพึ่งพิงคนที่มีความสามารถเฉพาะตัวมากทำให้การรักษาบุคลากรอาจจะทำได้ยาก เหนือสิ่งอื่นใดก็คือ ลูกจ้างที่เก่งมาก ๆ อาจจะสามารถออกไปตั้งกิจการเองได้ไม่ยากเนื่องจากธุรกิจไม่จำเป็นต้องใช้เงินทุนมาก ดังนั้น การลงทุนในหุ้นกลุ่มนี้จึงหวังที่จะรวยยากแม้ว่าจะไม่ถึงกับเหนื่อยหนักเท่ากับธุรกิจอื่น ๆ ที่กล่าวข้างต้น

ที่เขียนมาทั้งหมดนั้น ก็มิได้หมายความว่าเราไม่ควรลงทุนซื้อหุ้นเหล่านั้นเลย เพราะในบางครั้งบางช่วงเวลา หุ้นเหล่านั้นก็ให้ผลตอบแทนที่โดดเด่นมาก เพียงแต่ว่าเราจำเป็นต้องรู้ว่าเวลานั้นคือเวลาไหน เช่นเดียวกัน เราต้องรู้ด้วยว่า หุ้นเหล่านั้นอาจจะมี “เวลาที่ดี” จำกัด ในขณะเดียวกัน เวลาที่ “แย่” หรือเวลาที่ “เลวร้าย” นั้นกลับยาวกว่ามาก อย่าให้สถานการณ์ช่วงสั้น ๆ ทำให้เราไขว้เขวกับธรรมชาติของธุรกิจ เพราะนั่นจะทำให้เราพลาดและเจ็บหนัก อย่าลืมว่านี่คือ ธุรกิจที่ต้อง “อาบเหงื่อต่างน้ำ” ไม่ใช่ธุรกิจที่ “หากินง่าย” อย่างหลาย ๆ ธุรกิจที่ไตรมาศแล้ว ไตรมาศเล่า ปีแล้ว ปีเล่า ผลการดำเนินงานก็เติบโตไปเรื่อย ๆ พร้อม ๆ กับราคาหุ้นที่จะตามกันไปต่อเนื่องยาวนาน



อาบเหงื่อต่างน้ำ

ดร.นิเวศน์ เหมวชิรวรากร

โลกในมุมมองของ Value Investor

Monday, 2 July 2012

Excerpted from อาบเหงื่อต่างน้ำ : ดร.นิเวศน์ เหมวชิรวรากร
http://www.stock2morrow.com/showthread.php?t=54152

posted from Bloggeroid

วันจันทร์ที่ 2 ธันวาคม พ.ศ. 2556

หุ้นสื่อสารปีนี้กำไรโต 15% เด่นสุด INTUCH - SAMART

หุ้นสื่อสารปีนี้กำไรโต 15% เด่นสุด INTUCH - SAMART



โบรกประเมินกำไรกลุ่มสื่อสารปี 56 เติบโต 15% จากปีก่อน ให้น้ำหนัก "มากกว่าตลาด" แนะหุ้นเด่นในกลุ่ม INTUCH - SAMART

บล. เคเคเทรด ระบุว่า บริษัทกลุ่มสื่อสารที่ศึกษาส่วนใหญ่รายงานกำไร Q3/56 เป็นไปตามคาด ส่วนผลประกอบการใน Q4/56 คาดว่าบริษัทขนาดใหญ่ ADVANC , DTAC , TRUE INTUCH จะยังมีฐานค่าใช้จ่ายที่สูงต่อเนื่องจากเร่งทำตลาด 3G-2100 MHz และ เร่งย้ายฐานลูกค้า 2G ด้วยการสนับสนุนค่าใช้จ่ายการคงสิทธิ์เลขหมาย (Mobile Number Portability) ให้กับลูกค้า

นอกจากนี้สัมปทานคลื่น 1800 MHz (กระทบ ADVANC TRUE) ที่สิ้นสุดเมื่อวันที่ 15 ก.ย. ทำให้ ADVANC อาจทบทวนมูลค่าเงินลงทุน DPC เพิ่มขึ้นเพื่อสะท้อนอายุการใช้คลื่นความถี่ที่สั้นลง ประเมินจะมีค่าใช้จ่ายด้อยค่า 1.8 – 2 พันล้านบาท ส่วน TRUE จะปรับอายุการใช้ทรัพย์สินของคลื่นความถี่สิ้นสุด ก.ย.2557 ทำให้ค่าเสื่อมเพิ่ม 1.8 พันล้านบาทต่อไตรมาสจนถึง 3Q57

ด้าน JAS และ TRUE อยู่ระหว่างจัดตั้งกองทุนรวมโครงสร้างพื้นฐานโทรคมนาคม (Infra Fund) ที่มีขนาดกองทุนฯ 6-7 หมื่นล้านบาทใกล้เคียงกัน แต่ผลประโยชน์จากการตั้ง TRUEGIF จะเป็นบวกต่อ TRUE มากจากอัตราหนี้สินสุทธิต่อทุนลดลงเหลือเพียง 2 - 3 เท่า จาก 21 เท่า และส่วนผู้ถือหุ้นเพิ่มเป็น 3 – 5 หมื่นล้านบาท จาก 5 พันล้านบาท และ ลดขาดทุนสะสมเหลือ 2 – 3 หมื่นล้านบาท จาก 6 หมื่นล้านบาท

ขณะที่ JAS ยังมีความชัดเจนจากประโยชน์ของกองทุนน้อยกว่าเพราะเพิ่งได้รับอนุมัติจากผู้ถือหุ้นฯ อีกทั้งความกังวลคำตัดสินศาลฎีกายกเลิกคำสั่งฟื้นฟูฯ และความเสี่ยงภาระหนี้เพิ่ม เรามองว่าราคาหุ้น TRUE ตอบรับผลบวกของ IFF ที่น่าจะเสนอขายหน่วยลงทุนได้ภายในเดือน ธ.ค. นี้ ขณะที่ JAS ยังค่อนข้าง Laggard จากผลบวกจากการตั้ง IFF

ทั้งนี้กสทช.จะประกาศรายชื่อผู้ผ่านคุณสมบัติประมูลใบอนุญาตดิจิตอลทีวี 24 ช่องธุรกิจกลางเดือน ธ.ค.และเปิดประมูลในเดือน ม.ค. 57 โดย INTUCH , SAMART , TRUE เป็นบริษัทที่ยื่นซองเข้าประมูล หากเทียบความพร้อมด้าน Content มองว่ากลุ่ม TRUE เด่นสุด ขณะที่ INTUCH ไม่มี Content ในมือ

ส่วน SAMART ซึ่งร่วมทุนกับสยามสปอร์ตมีจุดแข็ง Content ข่าวกีฬา ยังไม่รวมมูลค่าเพิ่มจากธุรกิจดิจิตอลทีวีไว้ในประมาณการ แต่มองการประมูลใบอนุญาตจะส่งผลบวกเชิงจิตวิทยาต่อหุ้น นอกจากนี้ มองว่าความคืบหน้าการประมูลคลื่น 1800 MHz ที่จะเกิดขึ้นช่วงกลางปี 2557 จะเป็นอีกประเด็นบวกต่อ ADVANC และ TRUE ที่เตรียมเข้าประมูล

ฝ่ายวิจัยคงน้ำหนักลงทุนกลุ่มสื่อสาร “มากกว่าตลาด” ประเมินว่าผลการดำเนินงานของบริษัท 12 แห่งที่ศึกษาจะมีกำไรเติบโตราว 15% จากปีก่อน ตามการฟื้นตัวของบริษัทขนาดใหญ่เริ่มเห็นผลบวกการประหยัดต้นทุนสัมปทานลดลง ทำให้มี PE ปี 2557 เฉลี่ยที่ 16 เท่า

สำหรับการลงทุนในหุ้นขนาดใหญ่ในกลุ่มสื่อสาร ชอบ INTUCH และ SAMART โดยประเมินว่า INTUCH จะมีมูลค่าเพิ่มจากธุรกิจดิจิตอลทีวีและไทยคม 7 คาดว่ายังคงจุดเด่นอัตราผลตอบแทนเงินปันผลต่อปี 5-6% และราคาหุ้นยัง Laggard

ส่วน SAMART มีจุดเด่นจากโครงสร้างธุรกิจที่เกื้อหนุนกัน ขณะที่บริษัทร่วมทุนที่อยู่ไปจนทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ฯ (Non listed) จะมีบทบาทต่อกำไรปี 2557 มากขึ้น เราคาดว่ากำไร SAMART จะมีอัตราการเติบโต 20% จากปีก่อน ขณะที่ราคาหุ้นซื้อขาย PE ปี 57 ที่ 10 เท่า

นอกจากนี้เราปรับคำแนะนำ DTAC, THCOM และ INET เป็น “ซื้อ” (เดิม “ถือ”) หลังจากที่ราคาหุ้นลงมามากและมี Upside เกิน 10%




03 ธ.ค. 56 10:30 โดย : Rubio
intuch ลงมาเยอะมากๆ สำหรับใครที่สนใจจริงๆก็เป็นจังหวะที่ดีเหมือนกันนะครับ
03 ธ.ค. 56 10:37 โดย : SiTh LoRd PaCk

ตอบกลับกระทู้กลับไปหน้าแรก

เข้าเว็บไซต์แบบปกติ

© COPYRIGHT 2013 STOCK2MORROW

posted from Bloggeroid

วันพฤหัสบดีที่ 28 พฤศจิกายน พ.ศ. 2556

ข่าวหุ้น - กระบอกเสียงอิสระแห่งตลาดทุน:: ILINKกำไร150ล้าน

ข่าวหุ้น - กระบอกเสียงอิสระแห่งตลาดทุน:: ILINKกำไร150ล้าน
ยันปีหน้าเติบโต20%
ข่าวหน้าหนึ่ง วันศุกร์ที่ 29 พฤศจิกายน 2556
ผู้เข้าชม : 2 คน
ILINK มั่นใจปีนี้ทำกำไรไม่ต่ำ 150 ล้านบาท ไตรมาส 4/56 รับรู้รายได้ 2 โครงการ 400 ล้านบาท พร้อมตั้งเป้ารายได้และกำไรปี 57 เติบโต 20% โชว์งานในมือ 1,950 ล้านบาท จ่อประมูลเคเบิลใต้น้ำเกาะเต่า มูลค่ากว่า 1,600 ล้านบาท


นายณัฐนัย อนันตรัมพร กรรมการผู้จัดการ บริษัท อินเตอร์ลิ้งค์ คอมมิวนิเคชั่น จำกัด (มหาชน) หรือ ILINK เปิดเผยว่า กำไรสุทธิในปี 2556 จะเป็นไปตามเป้าหมายตั้งไว้มากกว่า 150 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 30% จากปี 2555 ที่มีกำไรสุทธิอยู่ที่ 116.46 ล้านบาท

เนื่องจากในช่วง 9 เดือนแรกที่ผ่านมาบริษัทมีกำไรสุทธิอยู่ที่ 89.61 ล้านบาท และช่วงไตรมาส 4/56 บริษัทจะมีการรับรู้รายได้บางส่วนจากโครงการก่อสร้าง Submarine Cable 22 เควี ระยะทาง 50 กม.ไปยังเกาะกูด เกาะหมาก จ.ตราด ของการไฟฟ้าส่วนภูมิภาค (กฟภ.) ที่เซ็นสัญญาไปเมื่อวันที่ 2 ก.ย.ที่ผ่านมา มูลค่าโครงการ 1,150 ล้านบาท

ประกอบกับบริษัทชนะการประมูลโครงการก่อสร้าง Submarine Cable 115 เควี ระยะทาง 15 กม. ไปยังเกาะพงัน จ.สุราษฎร์ธานี มูลค่าโครงการ 800 ล้านบาท และรอเซ็นสัญญาในต้นเดือนธ.ค.นี้ ดังนั้นหลังจากเซ็นสัญญาจะมีการรับรู้รายได้บางส่วนในไตรมาส 4/56 ทันที

“มั่นใจว่ากำไรปีนี้เติบโตมากกว่า 150 ล้านบาท ตามเป้าที่ตั้งไว้ เพราะบริษัทมีการรับรู้รายได้จากโครงการ Submarine Cable เกาะกูด เกาะหมาก รวมทั้งรับรู้รายได้จากโครงการ Submarine Cable เกาะพงัน ที่คาดว่าจะเซ็นสัญญาในต้นเดือน ธ.ค.นี้ รวม 2 โครงการรับรู้รายได้ในปีนี้ประมาณ 400 ล้านบาท ที่เหลือรับรู้รายได้ในปีหน้า ขณะที่รายได้ในปีนี้คาดว่าจะทำได้ใกล้เคียงเป้าที่ตั้งไว้ที่ 1,950 ล้านบาท” นายณัฐนัย กล่าว

สำหรับโครงข่าย Interlink Fiber Optic Network ได้สร้างเสร็จเรียบร้อยในบางส่วน แต่มีการขายแล้ว โดยในขณะนี้มีลูกค้าเป็นโมบาย โอเปอเรเตอร์ ได้แก่ บริษัท ทรู คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) หรือ TRUE ขณะที่ศูนย์ Data Center (DC) เสร็จเรียบร้อยแล้ว แต่ยังไม่ได้ให้บริการ อยู่ระหว่างทดสอบระบบ

ส่วนในปี 2557 บริษัทตั้งเป้าหมายมีกำไรและรายได้เติบโต 20% จากปี 2556 เนื่องจากบริษัทมีมูลค่างานในมือรอรับรู้รายได้ (Backlog) ประมาณ 1,950 ล้านบาท แบ่งเป็นโครงการก่อสร้าง Submarine Cable ไปยังเกาะกูด เกาะหมาก จ.ตราด ของ กฟภ.มูลค่า 1,150 ล้านบาท

โครงการก่อสร้าง Submarine Cable ยังเกาะพงัน จ.สุราษฎร์ธานี มูลค่า 800 ล้านบาท ซึ่งจะมีการรับรู้รายได้เต็มปีทั้ง 2 โครงการ รวมทั้งธุรกิจจัดจำหน่ายสายสัญญาณปีหน้า คาดว่าจะเติบโตประมาณ 20-30% สูงกว่าตลาดรวมที่คาดว่าจะเติบโตประมาณ 19%

นอกจากนี้ บริษัทเตรียมเข้าประมูลโครงการก่อสร้าง Submarine Cable 115 เควี ไปยังเกาะเต่า จ.สุราษฎร์ธานี 33 เควี ระยะทาง 45 กม. มูลค่า 1,686 ล้านบาท โดยขณะนี้โครงการดังกล่าวผ่านคณะกรรมการ (บอร์ด) ของกฟภ.แล้ว อยู่ระหว่างส่งเรื่องไปยังหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเพื่อขอความเห็นชอบ และจัดทำประชาพิจารณ์ คาดว่าจะอนุมัติงบประมาณปี 2558

นายณัฐนัย กล่าวว่า ช่วง 2 ปีจากนี้ บริษัทไม่มีแผนเพิ่มทุน เนื่องจากปัจจุบันยังไม่เห็นความจำเป็น และยังไม่มีโครงการใหญ่ๆ เข้ามา รวมทั้งเงินที่ธนาคารสนับสนุนยังมีอยู่ และในอนาคตกำไรเพิ่มขึ้น ก็จะมีเงินทุนหมุนเวียนเข้ามาเพิ่ม

วันพุธที่ 27 พฤศจิกายน พ.ศ. 2556

ก.ล.ต. เปรียบเทียบปรับผู้กระทำผิดกรณีใช้ข้อมูลภายในซื้อหุ้น BGH รวมกว่า 10 ล้านบาท

ก.ล.ต.ปรับผู้บริหารอินไซเดอร์ซื้อหุ้น BGH
27 พฤศจิกายน 2556 เวลา 20:43 น. |เปิดอ่าน 2,079 | ความคิดเห็น 0

26

14

More Sharing Services
ทั้งหมด +


ก.ล.ต. เปรียบเทียบปรับผู้กระทำผิดกรณีใช้ข้อมูลภายในซื้อหุ้น BGH รวมกว่า 10 ล้านบาท

ก.ล.ต. เปิดเผยกรณีคณะกรรมการเปรียบเทียบมีคำสั่งเปรียบเทียบนายธวัชวงค์ ธะนะสุมิต ในฐานะตัวการกรณีใช้ข้อมูลภายในซื้อหุ้นบริษัท กรุงเทพดุสิตเวชการ จำกัด (มหาชน) (BGH) เพื่อตนเองและบุคคลอื่น และนางสาววิพร จิตรสมหวัง และนางนฤมล ใจหนักแน่น ในฐานะผู้ช่วยเหลือสนับสนุน เป็นจำนวนเงินรวม 10,488,534.01 บาท

ก.ล.ต. ได้รับแจ้งจากตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย และตรวจสอบเพิ่มเติมพบว่า ระหว่างวันที่ 16 พฤศจิกายน ถึงวันที่ 7 ธันวาคม 2553 นายธวัชวงค์ ธะนะสุมิต ในฐานะที่ดำรงตำแหน่งกรรมการของ BGH ได้ซื้อหุ้น BGH จำนวน 1,030,000 หุ้น ผ่านบัญชีซื้อขายหลักทรัพย์ของนางสาววิพรและนางนฤมล เพื่อประโยชน์ของตนเองและบุคคลอื่นในประการที่น่าจะเป็นการเอาเปรียบต่อบุคคลภายนอก โดยอาศัยข้อเท็จจริงอันเป็นสาระสำคัญด้านบวกต่อการเปลี่ยนแปลงราคาของหุ้น BGH ที่ยังมิได้เปิดเผยต่อประชาชนเกี่ยวกับธุรกรรมที่ BGH เข้าควบรวมกิจการกับบริษัท เฮลท์ เน็ตเวิร์ค จำกัด (มหาชน) ด้วยการเข้าซื้อและรับโอนกิจการทั้งหมดของ HN (Entire Business Transfer) ในช่วงปี 2553 ต่อเนื่องปี 2554 ซึ่งส่งผลให้ BGH เป็นเครือข่ายกลุ่มโรงพยาบาลเอกชนขนาดใหญ่และมีรายได้เพิ่มขึ้นจากการมีส่วนแบ่งตลาดเพิ่มสูงขึ้น  ทั้งนี้ มีนางสาววิพร และนางนฤมล ให้ความช่วยเหลือ โดยให้นายธวัชวงค์ยืมใช้บัญชีซื้อขายหลักทรัพย์ และอำนวยความสะดวกในการชำระเงินค่าซื้อและรับเงินค่าขายหุ้น BGH ในบัญชีซื้อขายดังกล่าว

การกระทำของนายธวัชวงค์ ซึ่งเป็นบุคคลวงในเข้าข่ายเป็นความผิดตามมาตรา 241 แห่งพระราชบัญญัติหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ พ.ศ. 2535 ส่วนการกระทำของนางสาววิพรและนางนฤมล เข้าข่ายเป็นการช่วยเหลือสนับสนุนการกระทำผิดของนายธวัชวงค์ เป็นความผิดตามมาตรา 241 แห่งพระราชบัญญัติหลักทรัพย์ฯ ประกอบมาตรา 86 แห่งประมวลกฎหมายอาญา

ทั้งนี้ นายธวัชวงค์ นางสาววิพร และนางนฤมล ยินยอมเข้ารับการเปรียบเทียบ ซึ่งคณะกรรมการเปรียบเทียบได้เปรียบเทียบปรับนายธวัชวงค์ในฐานะตัวการ เป็นเงิน 9,821,867.35 บาท  นางสาววิพรและนางนฤมล ในฐานะเป็นผู้ช่วยเหลือสนับสนุน เป็นเงินรายละ 333,333.33 บาท

บอร์ด กนง.มีติลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายลง 0.25%

บอร์ด กนง.มีติลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายลง 0.25%

วันพุธที่ 27 พฤศจิกายน 2556 เวลา 14:35:06 น. 
ผู้เข้าชม : 792 คน 

คณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) มีมติให้ปรับลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายลง 0.25% มาที่ 2.25% จากเดิมที่ 2.50% พร้อมกับลดคาดการณ์อัตราการขยายตัวของเศรษฐกิจ (GDP) ปีนี้เหลือเติบโตเพียง 3% จากเดิม 3.7% คาดว่าปีหน้าจะเติบโต 4% ต้นๆ โดยมองว่าเศรษฐกิจยังเปราะบางและมีความเสี่ยง หลังจากเศรษฐกิจในไตรมาส 3/56 ขยายตัวต่ำกว่าคาด และในเดือน ต.ค.ยังไม่เห็นสัญญาณการฟื้นตัวชัดเจน

วันอังคารที่ 26 พฤศจิกายน พ.ศ. 2556

Thaksin predicts “shining new age” after King’s death-Times

Thaksin predicts “shining new age” after King’s death-Times

November 9, 2009

Ousted Thai leader Thaksin Shinawatra calls for ‘shining’ new age after King’s death
The Times: November 9, 2009

Thaksin Shinawatra, the ousted Prime Minister of Thailand and opposition leader in exile, has called for reform of the country’s revered monarchy and spoken of a “shining” new age after the era of the ailing King, Bhumibol Adulyadej.
Mr Thaksin’s remarks, which touch on taboo areas of Thai politics, come as he prepares to return to South-East Asia from exile in a move which has caused turmoil in Bangkok. He plans to arrive in Cambodia, Thailand’s neighbour, tomorrow, on a visit which has caused an intense row between the countries.
The appointment of Mr Thaksin as an “adviser” by Hun Sen, the Cambodian Prime Minister, has angered and humil-iated Abhisit Vejjajiva, the Thai Prime Minister, and raised suspicions that Mr Thaksin is plotting a political comeback from a base in Cambodia.
The two countries have withdrawn their ambassadors and there are fears of military skirmishes along the disputed border, following clashes last year.
Mr Thaksin’s remarks about the monarchy are further evidence that, three years after being forced out as democratically elected Prime Minister in a military coup, he is still contemplating a political future in Thailand. His remarks also suggest that he is placing hope in the man likely to accede to the throne, Maha Vajiralongkorn, the Crown Prince.
“He’s not the King yet. He may not be shining [now],” Mr Thaksin told The Times in an interview from his exile in the Arabian Gulf city of Dubai. “But after he becomes the King I’m confident he can be shining … it’s not his time yet. But when the time comes I think he will be able to perform.”
Mr Thaksin was the most popular — and the most divisive — Prime Minister in his country’s recent history. Since the coup in 2006 Thailand has been torn by frequently violent demonstrations by his “Red Shirt” supporters and the “Yellow Shirts” who oppose him in the name of King Bhumibol.
The King has not explicitly endorsed their movement but many of Mr Thaksin’s supporters believe the coup could not have happened without his consent.
Mr Thaksin is careful to emphasise deep loyalty to King Bhumibol but is deeply critical of the “palace circle”; principally, members of the Privy Council. He blames them, along with senior generals, for the coup. King Bhumibol quickly accepted the coup and has ignored a petition signed by 3.5 million Thais to pardon Mr Thaksin. However, the King has been in hospital for seven weeks, reportedly suffering from pneumonia, and Thais are looking ahead with trepidation to life after his reign.
Prince Vajiralongkorn is the King’s designated heir but is unpopular with many Thais because of rumours about his private life. Supporters of Mr Thaksin have told The Times that by endorsing the Crown Prince and lending some of his own personal popularity he hopes to gain the support of a future monarch who will not interfere with his political ambitions. “The Crown Prince may not be as popular as His Majesty the King,” Mr Thaksin told The Times. “However, he will have fewer problems because the palace circle will be smaller . . . He had education abroad and he’s young — I think he understands the modern world.”
Mr Thaksin, who was sentenced in absentia to two years in jail for corruption, insists he does not intend to settle in Cambodia — but even his temporary presence there, close to Thailand’s northeast, where he enjoys passionate support, is deeply discomforting for Mr Abhisit.